ภาษาอังกฤษจะให้ความสำคัญกับจำนวน เมื่อพูดถึงคำที่หมายถึง คน สัตว์ สิ่งของ หรือสิ่งต่างๆ ที่สามารถนับจำนวนได้ คำนั้นๆ จะต้องบอกเสมอว่าสิ่งนั้นมี 1 หรือมากกว่า 1 เสมอ
ซึ่งถ้ามีแค่ 1 ก็จะบอกโดยการใช้ a หรือ an นำหน้า เช่น
a boy
a chicken
an umbrella
an elephant
**** การใช้ a an ****
การเติม s
แต่ถ้าคำศัพท์ที่เราพูดถึงมีจำนวนมากกว่า 1 จะบอกโดยการเติมตัว s ต่อท้ายคำนั้นๆ โดยที่จะบอกตัวเลขจำนวนหรือไม่ก็ได้ เช่น
boys
2 chickens
umbrellas
5 elephants
การเติม es
แต่ถ้าคำนั้นลงท้ายด้วยตัวสะกดที่มีการมีการลากเสียงลมยาวๆ ต่อท้าย (เช่น s = เอสสสสสสสสสส) ได้แก่ s sh ch x และ z การเติมตัว s ต่อท้ายเลยจะไม่ได้สร้างความแตกต่าง ภาษาอังกฤษจึงเติม es เข้าไปแทนและทำให้มีการออกเสียง "เอิ่สสส" เพิ่มขึ้นมาตอนท้ายคำด้วย เช่น
buses
brushes
sandwiches
foxes
quizzes
รวมถึงคำที่ลงท้ายตัว o ก็จะเติม es ต่อท้าย แต่ไม่จำเป็นต้องออกเสียง "เอิ่สสส" เช่น
potatoes
tomatoes
heroes
และคำศัพท์ส่วนมากที่ลงท้ายด้วยตัว f หรือ fe มักจะเปลี่ยน f หรือ fe เป็น ve และเติม s ต่อท้าย แต่ไม่มีการออกเสียง "เอิ่สสส" เช่น
leaf => leaves
knife => knives
life => lives
wife => wives
*แต่ก็มีคำยกเว้นบางคำเช่น roofs proofs
การเติม s ที่ดูเหมือนเติม es
ส่วนคำศัพท์บางคำที่ลงท้ายด้วยตัว e อยู่แล้ว จะเติมตัว s ต่อท้าย ซึ่งจะทำให้ดูเหมือนว่าเติม es แต่ไม่จำเป็นต้องออกเสียง "เอิ่สสส" เช่น
apples
pipes
bites
grapes
gloves
ยกเว้นคำที่ลงท้ายด้วย -ce -ge -se -ze ซึ่งจะมีเสียงลมต่อท้าย (-ce = ซซซ, -ge = จจ, -se = ซซซ, -ze = ซซซ) จำเป็นต้องออกเสียง "เอิ่สสส" เพิ่มเข้ามาด้วย เช่น
faces
oranges
houses
sizes
คำที่ไม่เปลี่ยนการสะกดแทนการเติม s หรือ es
แต่จะมีคำศัพท์กลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้เติม s หรือ es (ซึ่งมีไม่กี่คำ) จะเป็นการเปลี่ยนเสียงหรือการสะกดแทน ซึ่งเราสามารถจำคำเหล่านี้ได้เลยโดยไม่ต้องใช้หลักการเติม s หรือ es เช่น
man => men
woman => women
child => children
person => people
foot => feet
tooth => teeth
mouse => mice
คำที่ไม่ต้องเปลี่ยนการสะกดและไม่ต้องเติม s หรือ es เลย
และคำเฉพาะบางคำที่ไม่มีการเปลี่ยนการสะกดหรือเติม s, es เลย แม้จะมีจำนวนมากกว่า 1 ซึ่งคำเหล่านี้สามารถจำไปได้เลย เช่น
sheep
fish
moose
swine
buffalo
shrimp
deer
trout
Thank you.
Thank you.
Thank you .